โรงเรียนวัดวังรีบุญเลิศ

หมู่ที่ 7 บ้านบ้านวังรี ตำบลดุสิต อำเภอถ้ำพรรณรา จังหวัดนครศรีธรรมราช 80260

Mon - Fri: 9:00 - 17:30

075-355693

โรงเรียนวัดวังรีบุญเลิศ

นางโชคดี จันทร์ทิพย์
ผู้อำนวยการ โรงเรียนวัดวังรีบุญเลิศ

Previous slide
Next slide

ประวัติ โรงเรียนวัดวังรีบุญเลิศ

โรงเรียนวัดวังรีบุญเลิศ ตั้งอยู่เลขที่ ๑ หมู่ที่ ๗ ตำบลดุสิต อำเภอถ้ำพรรณรา จังหวัดนครศรีธรรมราช มีเนื้อที่ ๘ ไร่ ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๘ ตามประกาศของคณะกรรมการการประถมศึกษาจังหวัดนครศรีธรรมราช เนื่องจากการร้องขอของราษฎรในพื้นที่ ซึ่งในขณะนั้นบุตรหลานต้องเดินทางไปเรียนไกลเกิน ๓ กิโลเมตร และสภาพพื้นที่ทุรกันดาร

ทำพิธีเปิดเรียนวันแรก เมื่อวันเสาร์ วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๒๘ มีนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ เพียงชั้นเดียว มีนักเรียนทั้งหมด ๒๖ คน มีครูมาช่วยราชการปฏิบัติการสอนและทำหน้าที่ครูใหญ่ ๑ คน อาศัยศาลาวัดวังรีบุญเลิศ เป็นสถานที่เรียนชั่วคราว ตลอดปีการศึกษา ๒๕๒๘ จนถึง พ.ศ. ๒๕๒๙ จึงได้สร้างอาคารเรียนแบบ สปช. ๑๐๑/๒๖ จำนวน ๑ หลัง จากเงินงบประมาณ

ตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๒๘ เป็นต้นมา การจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนได้รุดหน้าเป็นลำดับ ขยายชั้นเรียนจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ เมื่อปีการศึกษา ๒๕๓๓ และเปิดขยายโอกาสระดับมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ในปีการศึกษา ๒๕๓๖ ในปีการศึกษา ๒๕๓๘ ขยายถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนเป็นที่นิยมของคนทั่วไป ทั้งนี้ เนื่องจากโรงเรียนยังคงรักษาเอกลักษณ์ ที่มุ่งเน้นด้านวิชาการเป็นหลัก ควบคู่ไปกับการปลูกฝังระเบียบวินัย เพื่อฝึกคนให้มีระเบียบ มีวินัย มีคุณธรรม จริยธรรม และพัฒนาการทุกด้าน

วิสัยทัศน์ / ปรัชญา

วิสัยทัศน์ / ปรัชญา ของ โรงเรียนวัดวังรีบุญเลิศ “ พัฒนาผู้เรียนสู่มาตรฐาน สืบสานความเป็นไทย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม พร้อมบริการชุมชน ”

พันธกิจ / เป้าประสงค์

พันธกิจที่ ๑ พัฒนาคุณภาพผู้เรียนทุกระดับ ให้มีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานทางการศึกษา ของ  โรงเรียนวัดวังรีบุญเลิศ 

พันธกิจที่ ๒ พัฒนาคุณภาพนักเรียนให้สามารถใช้สื่อเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้

พันธกิจที่ ๓ พัฒนาศักยภาพของครูให้มีความรู้ตามมาตรฐานวิชาชีพ มีความสามารถในการใช้สื่อเทคโนโลยี และมีทักษะกระบวนการเรียนรู้ตามแนวทางปฏิรูปการศึกษา

พันธกิจที่ ๔ พัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานให้มีประสิทธิภาพ

พันธกิจที่ ๕ พัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศให้มีประสิทธิภาพเอื้ออำนวยต่อการบริการจัดการศึกษา

พันธกิจที่ ๖ พัฒนากระบวนการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วมระหว่างบุคลากร ชุมชน และองค์กรท้องถิ่นอย่างมีระบบให้มีประสิทธิภาพ

พันธกิจที่ ๗ ส่งเสริมนักเรียนในด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และอนุรักษ์ศิลปะ วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น

พันธกิจที่ ๘ พัฒนาสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่เอื้อต่อการจัดการเรียนการสอน

เป้าประสงค์ (Goal)

โรงเรียนบ้านวัดวังรีบุญเลิศ ได้กำหนดเป้าประสงค์เพื่อให้บรรลุผลตามพันธกิจ มี ๑๐ ข้อ ดังนี้

๑. ผู้เรียนมีคุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานทางการศึกษา

๒. ผู้เรียนชั้น ป.๑- ม.๓ มีความสามารถในการใช้สื่อเทคโนโลยีในการศึกษาหาความรู้เหมาะสมกับ ระดับ

๓. มีหลักสูตรสถานศึกษาที่สนองความต้องการของท้องถิ่น

๔. นักเรียนมีคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์

๕. จัดการเรียนการสอนโดยให้ชุมชนมีส่วนร่วม

๖. มีระบบข้อมูลสารสนเทศที่ชัดเจนมีประสิทธิภาพสะดวกต่อการบริหารจัดการ

๗. มีโครงสร้างการบริหารงานชัดเจน

๘. บุคลากรในโรงเรียนทุกคนมีคุณธรรม จริยธรรม และมีระเบียบวินัยในตนเอง

๙. บุคลากรทางการศึกษาได้รับการพัฒนาตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษา

๑๐. มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน

นานาสาระ

ใจ อธิบายสาเหตุที่เราถึงวางมือไม่ได้หลังจากที่มีคนมาทำร้ายเรา

ใจ ทำไมเราถึงปล่อยมือไม่ได้ หลังจากที่มีคนมาทำร้ายเรามานานแล้ว คิดดูนะทุกคน จริงไหมที่เราแต่ละคนเคยเจอแบบนี้ ที่คนอื่นทำร้ายเรา แม้จะผ่านมานานแล้ว แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นี้กลับยังรู้สึกอึดอัดในใจ รู้สึกเหมือนเดิม ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ กฎหมายที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในจักรวาลคือ กฎหมายของสถานที่น่าสนใจ กฎแรงดึงดูดบอกว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของคุณ คือสิ่งที่คุณดึงดูด คุณจะได้รับสิ่งที่คุณต้องการ

ซึ่งสะท้อนที่ความถี่เท่ากัน ดึงดูดสิ่งเดียวกัน เมื่อจิตเชื่อมโยงกับสิ่งที่ทำให้ปวดใจ อยู่ที่ความถี่นั้นและเข้าสู่สนามพลังงานลบ ความทรงจำคือปล่อยให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นอีก นับครั้งไม่ถ้วนต้องใช้สิ่งนั้นทำร้ายตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นเดียวกับการเอามีดแทงหัวใจซ้ำๆ เราไม่ทำเรื่องโง่ๆแบบนั้น เราไม่สามารถปล่อยให้คนอื่นมาครอบงำจิตใจเราได้ แต่เราต้องครองใจเรา เรียนรู้ที่จะรักตัวเองและไม่โทษตัวเอง สำหรับความผิดพลาดของผู้อื่น

ใจเราต้องเหมือนห่านป่าบินอยู่เหนือทะเลสาบ เงาจะหายไป เมื่อบินข้ามทะเลสาบ เรื่องราวจบลงความรู้สึกไม่สบายที่ทำให้เราเจ็บปวด เมื่อถูกทำร้ายก็จะหายไปด้วย พูดง่ายแต่ลงมือทำจริง ไม่ใช่แค่เข้าใจตามทฤษฎี แต่เราต้องฝึกฝนและใจเย็น จะมาทำร้ายเรา ทำไม เหตุใดจึงทำให้เราปวดใจเป็นครั้งเป็นคราว เป็นเพราะเราใส่ใจ ที่จริงเรายื่นมีดให้เค้าแล้วให้โอกาสเค้า พอเจอคนแบบนี้ ก็ต้องเอามีดไปเอาคืน คนไม่ถูกใจเรา

อย่างน้อยที่สุดก็ไม่คุ้มที่จะให้ความสนใจ กับเขาสักระยะหนึ่งหลังจากที่ทำร้ายเรา เราต้องระมัดระวัง เราต้องสร้างความภาคภูมิใจในตนเอง และบุคลิกภาพของเรา เฉพาะเมื่อเราเคารพตนเองและผู้อื่นจะเคารพคุณ มิฉะนั้นหากเราทำให้คนอื่นพอใจอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า เราก็จะสูญเสียความภาคภูมิใจในตนเอง และคนอื่นๆจะให้ความสำคัญกับตนเองน้อยลงเรื่อยๆ เราต้องสร้างความนับถือตนเองและบุคลิกภาพของเราเท่าเทียมกัน

ยิ่งเราแคร์ใครเราเป็นห่วงใคร และรักใครมากเท่าไหร่ เราก็มักจะถูกใครทำร้ายมากขึ้นเท่านั้น เพราะมัวแต่ห่วงใครห่วงใคร กลัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ฉากในใจจะแผ่กระจายออกไปในความถี่นั้น และจะเกิดขึ้นที่ความถี่ใกล้เคียงกัน ยิ่งกังวลก็ยิ่งห่วงหา กลัวจะเกิดอะไรขึ้น และยิ่งไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้น ดังนั้น เราต้องเปลี่ยนวิธีคิดนี้ เราต้องคิดบวกนึกถึงฉากดีๆ จะได้ดึงดูดสิ่งสวยงามให้เกิดขึ้น นี่คือความลับของจักรวาล

อะไรคือผลที่ตามมาของการไม่ปล่อยสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานาน หากเราไม่สามารถละทิ้งสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ และอยู่ในสนามพลังงานเชิงลบนี้เป็นเวลานาน มีหลายสิ่งหลายอย่างที่คุณไม่ต้องการให้เกิดขึ้น กฎแรงดึงดูดกล่าวว่า ความถี่ที่คุณปล่อยจะดึงดูดผู้คน และสิ่งของที่มีความถี่เดียวกันรอบตัวคุณ เมื่อพลังงานด้านลบนี้กลับมา มันจะทวีคูณขึ้น ทำให้อารมณ์ไม่ดีของคุณรุนแรงขึ้น ส่งผลโดยตรงต่องานและชีวิตของคุณและด้านอื่นๆ

ภายใต้อารมณ์แบบนี้ สิ่งที่เราเปล่งออกมาก็คือพลังงานสนามเชิงลบชนิดหนึ่ง และผู้คนรอบตัวเราจะประสบกับมัน และอาจถูกลากลงมาด้วยพลังงานสนามนี้ และกลายเป็นอารมณ์ที่ปั่นป่วน อารมณ์ด้านลบแบบนี้ยังทำให้ร่างกายเราอึดอัดหรือมีปัญหาทางร่างกายได้เพราะจิตใจของเรา แต่ละคนสามารถทำให้เกิดความผันผวนที่สอดคล้องกันในร่างกายของเรา และอารมณ์เชิงลบในระยะยาวจะค่อยๆก่อตัวเป็นแผลในร่างกาย ที่อ่อนแอลงสนามทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย

คุณอาจไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เกิดจากอารมณ์เชิงลบของคุณ และถูกดึงดูดโดยตัวคุณเอง แต่นี่เป็นความลับของกฎแรงดึงดูดในจักรวาลอย่างแท้จริง ความเจ็บป่วยทางร่างกายส่วนใหญ่เกิดจากโรคหัวใจ ดังนั้น เราต้องเริ่มต้นจากหัวใจสู่การดูแลสุขภาพและการป้องกัน ปรับปรุงระดับความรู้ความเข้าใจของเราในทุกด้าน และปลดปล่อยตัวเราจากกรง เรือนจำหัวใจ แล้วเราจะปลดปล่อยตัวเองจากอารมณ์ด้านลบได้อย่างไร เราต้องเรียนรู้ที่จะรักตัวเอง

เราต้องเข้าใจโกรธเพราะคนอื่นคือใช้ความผิดพลาดของคนอื่นมาทำร้ายตัวเองและลงโทษตัวเอง เราต้องเปลี่ยนความคิดของเรา ถ้าเปลี่ยนทัศนคติต่อชีวิตก็เปลี่ยน ชะตากรรมของเราจะเปลี่ยนไป เราต้องเรียนรู้ที่จะถอนจิตออกจากเรื่องนั้น คนนั้นกับตัวเรา ตัดสัมพันธ์กับคนนั้นและเรื่องนั้น แล้วออกจากสนามความถี่นั้น เราต้องเรียนรู้ที่จะปรับความถี่ เปลี่ยนความคิดดึงดูดความรู้สึกดีๆ และให้จิตใจของเราเต็มไปด้วยความรัก เต็มไปด้วยพลังบวก เต็มไปด้วยความสุข

ดังคำกล่าวที่ว่าคนหนึ่งนึกถึงสวรรค์ คนหนึ่งนึกถึงนรก ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นด้วยจิตใจ หัวใจสามารถเป็นนรก หัวใจสามารถเป็นสวรรค์ หัวใจสามารถเป็นแบบธรรมดา หัวใจสามารถเป็นปราชญ์ได้ หัวใจของคุณกำหนดชะตากรรมของคุณเอง กำหนดความรู้สึกภายในของคุณเอง ดังนั้น ทุกอย่างเริ่มต้นจากใจ เราต้องเรียนรู้ที่จะดูแลหัวใจของเราและดูแลหัวใจของเรา ดูซิว่าใจเราตอนนี้ส่วนใหญ่อยู่นอกคนและสิ่งของ

ซึ่งใจเรามักยึดติดกับบุคคลภายนอกและสิ่งของหรือไม่ หรือกำลังคิดเกี่ยวกับปัญหาที่ทำให้เราเกิดอารมณ์ต่างๆขึ้น ใจของเราต้องการเครื่องยังชีพแบบใดแบบหนึ่งจึงจะรู้สึกสบายใจ กล่าวโดยสรุป ใจเราผันผวนตลอดเวลา มักจะอยู่ที่ผู้คนและสิ่งต่างๆภายนอก และไม่ค่อยอยู่ที่ตัวเรา เราสูญเสียตัวเองและเพิกเฉยต่อตนเอง ดังนั้น จงค้นหาจิตใจของคุณเองและค้นหาจิตใจของคุณที่บ้าน เลิกกังวลเรื่องคนและเรื่องภายนอก โดยเฉพาะคนหรือสิ่งที่ทำให้เราเศร้า

คนทั่วไปมักมีสุภาษิตว่าจงใส่หัวใจไว้ในท้อง มันเกี่ยวกับการดึงหัวใจของตัวเอง เราต้องดูแลตัวเอง สร้างตัวเอง ไม่พึ่งพาผู้อื่นเพื่อการยอมรับและดูแล และยืนยัน อนุมัติและรักตัวเอง เราต้องเรียนรู้ที่จะรักร่างกายของเรา เพราะร่างกายอยู่กับเรามานานหลายปี และเขาจะอยู่กับเราอย่างไม่ลดละ เราจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีร่างกาย เราต้องขอบคุณ ร่างกายก็เหมือนบ้าน เครื่องมือของการดำรงอยู่ อย่าบ่นเกี่ยวกับร่างกาย อย่าเกลียดตัวเอง รู้สึกขอบคุณร่างกายและพูดกับแต่ละส่วน